วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

Feeling : เหตุผลที่ต้องเสียน้ำตาบนรถเมล์

อะไร!! คือ เหตุผลที่ต้องเสียน้ำตาบนรถเมล์... 

          วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ็บปวดสุดๆ เหตุเพราะผู้หญิงคนหนึ่งเสียหลักเพราะรถเมล์เบรค แล้วเธอก็นำรองเท้าส้นเข็มที่เธอสวมอยู่ มาปักลงบนหลังเท้าของเรา แบบว่า"ไม่เป็นไรค่ะ"แต่น้ำตาไหลพราก เจ็บบบบบ เจ็บสุดๆ แล้วก็สะอื้นอยู่ซักพัก ก็พยายามอดทน ไม่เจ็บๆ แต่แบบตอนนี้เริ่มปวดแล้วล่ะ เล่นปักลงมาทั้งส้นขนาดนั้น =[]=!! 

          หลังจากผ่านพ้นเรื่องรองเท้าส้นเข็มไป ยังไม่จบ มีผู้ชายขึ้นมาใหม่ สวมรองเท้าหัวแหลม ขึ้นมาก็เอาหัวแหลมๆทักทายเท้าเราเลย อันนี้ยังพออภัยได้อยู่ มันบังเอิญ แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้นรถเบรค รองเท้าหัวแหลมก็ทับลงมาที่หลังเท้าเราอย่างจัง T[]T!! ที่เดิม ข้างเดิม รอยส้นเข็มเดิม 

          โอ้ววววว ไม่นะ แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้ว เจ็บแบบสุดๆไปเลย ไม่ได้อ่อนแอแบบว่าแค่นี้เจ็บด้วยหลอ น้ำตามันไหลเพราะเจ็บแบบสุดๆไปเลย โธ่ววววว นี่มันวันอะไรของฉันเนี่ย T[]T!!

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

Food : ดินแดนแห่งความฝันกับ Maidreamin


15 เม.ย. 56

                นั่งว่างๆอ่านรีวิวเพลินๆ อ่านไปอ่านมา รีวิวร้าน Maidreamin ชักจะเยอะไปแล้ว ใครๆก็พูดถึง วันนี้เลยมีแผนว่าจะออกไปลองร้านเมดคาเฟ่แท้ๆจากญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Maidreamin ที่ Gateway เอกมัยซะหน่อย อิอิ

                มาดูการเดินทางกันก่อนเลยดีกว่า เราไป Gateway เอกมัย โดยรถไฟฟ้า BTS โดยไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ BTS หมอชิต แล้วไปลงที่สถานีเอกมัย เพียงเท่านี้เพื่อนๆก็ถึงที่หมายแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าเมื่อลงมาจากสถานี Gateway จะอยู่ทางซ้ายมือเลย เห็นได้ชัดเจนมากๆ ถ้าหาไม่เจอ มองไปทางซ้ายสังเกตแมวกวักตัวใหญ่เบ้อเร้อ (ใหญ่มากจริงๆนะ) ><



                เมื่อเดินเข้าไปแล้ว  จะพบกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้จัง แอร๊ยยยย >< สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าแตกต่างจากครั้งก่อนที่มา คือ ครั้งนี้คนน้อยมากๆ อยากจะถ่ายรูปตรงไหน มุมไหนก็ถ่ายได้แบบส่วนตัวสุดๆไปเลย (แบบว่าไม่ติดคนเดินผ่านไปผ่านมาหรือคนแยกกันถ่ายรูปประมาณนั้น)

                


                เอาล่ะ!! ในเมื่อเรามาถึงที่หมายกันแล้ว ต่อไปเราไปดูเป้าหมายของเรากันดีกว่า Let’s go!!

ร้าน Maidreamin จะอยู่ตรงชั้น 1 ของศูนย์การค้า หากเดินเข้ามาทางประตูที่เชื่อมกับทางออก BTSเอกมัย ให้เดินตรงเข้าไปให้สุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายมาทางร้านTsuruha (ซูรูฮะ-ร้านขายของญี่ปุ่น) แล้วเดินไปให้สุดทางเดิน ร้านจะอยู่ขวามือ อยากบอกว่าสีสันสวยงามเชียวล่ะ เป็นร้านเล็กๆน่ารักๆ มีที่นั่งน้อยไม่เยอะมาก เพราะพื้นที่ร้านค่อนข้างเล็กและจำกัด


อยากจะบอกว่าตอนแรกกะไปถึงตอนร้านเปิด คือ 11.00 น. แต่พอเอาเข้าจริง วันนี้ดันรถเสีย รถชน เยอะแยะไปหมด ทำให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองโมงกว่าๆ ทำให้เป็นไปอย่างที่คิดว่า จะต้องรอคิวนานแน่ๆ และก็เป็นอย่างนั้น ตอนที่เราไปได้คิวที่ 20 ซึ่งต้องรออีกประมาณ 6-7 คิว เมทที่ร้านบอกว่ารอราวๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งเราก็โอเคสำหรับเรื่องเวลา เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนต้องเยอะแน่ๆ เลยจองคิวไป

มาพูดถึงความคิดเห็นก่อนถึงคิวกันดีกว่า ตอนที่เราไปไม่เห็นคนต่อคิวรอหน้าร้าน เราก็เลยไปยืนๆรอ ซักพักก็มีเมทออกมารับลูกค้า ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น สุดท้ายแล้วเราก็ได้คิวที่ 20 มาครอบครอง ว่ะฮะฮ่า!!

รอ...รอ...รอ...จู่ๆท้องก็ร้อง แบบว่าหิวอ่ะ หลังจากที่ได้รับคิวมาแล้ว เราก็ไปเดินเล่นรอเวลาเข้าร้าน แต่พอเดินไปซักพักท้องก็เริ่มจะส่งสัญญาณว่าหิวไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปที่ร้าน เพื่อสอบถามความคืบหน้า คำตอบคืออีกประมาณ 3 คิว ซึ่งทำให้เราประมาณการณ์ว่าควรไปเดินหาะไรรองท้องก่อนซะแล้ว จำได้ว่าตอนนี้ร้าน KFC มีเมนูใหม่ เป็น “ไก่จักรพรรดิ์” เลยแวะลงไปลิ้มลองที่ร้าน KFC ชั้นล่างซะหน่อย

ไปถึงก็จัดเลย “ไก่จักรพรรดิ์ 1 ชิ้น ทานที่นี่ค่ะ” หมดไป 37 บาทค๊าบบบบ




 เวลามีไม่มาก ต้องรีบทาน เดี๋ยวเผื่อถึงคิวแล้วน้องเมดโทรมาเรียกจะไปเข้าร้านไม่ทัน จัดการกับไก่ตรงหน้าก่อนเลยดีกว่า ><



หลังจากนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลนะคะ คือแบบว่ากัดเข้าไปคำแรก รู้สึกถึง “ผงชูรส” อย่างแรกเลยค่ะ ลิ้นสัมผัสได้ว่าผงชูรสเยอะจริงๆ แล้วก็เป็นรสออกเค็มๆพอมีรสชาติ เอาเป็นว่าไม่ค่อยถูกใจเราเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ชอบทานรสจัดๆแบบว่าเค็มนำอะไรพวกนี้ก็น่าจะชอบนะคะ จบเพียงเท่านี้ก่อนค่ะ เพราะว่าน้องเมดที่ร้านโทรมาตามพอดี รองท้องไปหน่อย ค่อยดีขึ้นมาหน่อย ไปเข้าร้าน Maidreamin กันดีกว่าค่ะ

ภายในร้านจะมีสองชั้นค่ะ ซึ่งด้านบนจะเป็นแบบ VIP คือเสียค่าบริการ 100 บาท ถ้าใครชอบความเป็นส่วนตัวก็แนะนำแบบ VIP นะคะ ส่วนเราเลือกแบบธรรมดา ราคา 50 บาทก็พอแล้ว ^^

ด้านล่างคาดว่าน่าจะรอรับลูกค้าได้ถึง 20 คน ตามปริมาณจำนวนโต๊ะเก้าอี้ แต่ส่วนใหญ่จะมาไม่เกิน 6 คน เราได้ที่นั่งแบบนั่งสองคน ซึ่งไปคนเดียวก็นั่งคนเดียว จะว่าไปร้านน่ารักดีค่ะ ที่สำคัญให้บริการดีด้วย ^^

เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้วจะมีน้องเมดเข้ามาคุกเข่าพร้อมกับเทียนแบบนี้



 แล้วก็จะให้เรานับถอยหลัง เพื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน เมื่อพร้อมแล้วมาเริ่มกันเลยค่ะ 3..2..1 เทียนได้ถูกจุดขึ้นแล้ว
หลังจากนั้นน้องเมดก็ชี้แจงกฎของทางร้านค่ะ
                          - ถ่ายภาพได้แต่อาหาร
                          - ห้ามทำความรบกวนใดๆ
                          - ห้ามสัมผัสเมด
                          - ห้ามให้ของขวัญเมด
                          - ห้ามถามข้อมูลส่วนตัวเมด
                          - ห้ามชวนเมดไปทำงานหรือกิจกรรมอื่นๆ    
                 อารมณ์ประมาณว่า “อย่า” มากกว่าห้ามนะคะ :)

สิ่งที่ประทับใจมากๆคือ เท่าที่อ่านรีวิวมาจะเรียกลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการว่า “นายท่าน” “นายหญิง” “คุณหนู” แต่ไม่นึกว่าน้องเมดจะเรียกเราว่า “คุณหนู” แบบว่าความรู้สึกลอยเลยค่ะ ไม่เคยได้เป็นคุณหนูมาก่อน เจอแบบนี้ โลกแห่งความฝันชัดๆ แต่รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกค่ะ “คุณหนู” “คุณหนู” “คุณหนู”  >__<

เมื่อแนะนำกฎของทางร้านและเมนูอาหารเรียบร้อย น้องเมดก็ให้เวลาเราในการตัดสินใจเลือกเมนูค่ะ โดยทิ้งท้ายก่อนไปว่าถ้าต้องการสั่งอาหารให้บอกว่า “เนี๊ยว...เนี๊ยว” พร้อมกับทำท่าแมวกวักค่ะ น่ารักสุดๆไปเลย ><


อันนี้เป็นกล่องใส่ออเดอร์ค่ะ :)

นั่งดูเมนูไปซักพัก ก็ได้เมนูในใจแล้วค่ะ แล้วเราก็ทำอย่างที่น้องเมดบอกคือ “เนี๊ยว...เนี๊ยว” พร้อมทำท่าแมวกวัก ก็มีคนมองนะคะ (แอบเขิน >///<) แต่ทำไงได้ โต๊ะไหนๆที่จะสั่งอาหารหรือเรียกใช้บริการก็ทำเหมือนกันหมด อิอิ

เราสั่งเป็นเมนูของหวาน เป็นชุดเค้กค่ะ ราคา 160 บาท ถามว่ารออาหารนานมั๊ย ก็นานพอที่จะได้เห็นบรรยากาศและการทำอาหารหลากหลายเมนูภายในครัวค่ะ เพราะว่าที่นั่งที่เรานั่งนั้น อยู่หน้าครัวพอดีเลย ภายในครัววุ่นวายสุดๆไปเลยค่ะ ก็เป็นกำลังใจให้ทำอาหารออกมาเต็มที่นะคะ ^0^

เวลาผ่านไปซักพัก เมนูอาหารก็มาเสิร์ฟค่ะ น้องเมดมาทำให้แปลกใจอีกแล้ว ><”



จานนี้น่ารักสุดๆ วาดรูปให้เค้าด้วย ><

ก่อนทานน้องเมดจะร่ายมนต์ให้เราได้ทานอาหารจานนี้อย่างเอร็ดอร่อย โดยมีท่าหัวใจร่ายมนต์(ตั้งชื่อให้เองนะ ><)ให้เราทำตามไปพร้อมๆกันค่ะ ^^


เค้กมะพร้าวค่ะ :)

ตอนแรกแอบเสียใจเล็กน้อยค่ะ เพราะตอนแรกที่สอบถามว่าในเมนูเป็นเค้กอะไร น้องเมดบอกว่า “เค้กอัลมอนต์” ก็เลยตกลงสั่งเมนูนี้ไปค่ะ แต่ตอนเมนูมาเสิร์ฟกลับเป็นเค้กมะพร้าว ซึ่งก็ไม่ได้อะไรนะคะ แค่แบบว่าทานแล้วมันติดเหล็กติดฟันเยอะพอสมควร แต่ก็อร่อยดีค่ะ ^^

หลังจากค่อยๆทานไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันอร่อยขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะมนต์ที่น้องเมดร่ายให้ก็ได้นะ >< แล้วเราก็ได้สังเกตบรรยากาศภายในร้าน ชั้นบนคาดว่าน่าจะนั่งได้ประมาณ 7-8 ที่นั่ง บันไดเดินขึ้นชั้นบน ค่อนข้างลำบาก เพราะเป็นบันไดวน แต่ตกแต่งได้น่ารักดีค่ะ

ภายในครัวก็ค่อนข้างจะวุ่นวายเพราะออเดอร์มีเข้ามาตลอดและอาหารทำจานต่อจานค่ะ รับรองว่าทำสดใหม่และใส่ใจทุกเมนูจริงๆค่ะ

แล้วเราก็สังเกตว่ามีคนสั่งเมนูเดียวกับเราอยู่เยอะเหมือนกันและเค้กแต่ละจานก็แตกต่างกันออกไป ไม่ซ้ำเลยซักจาน เค้กอัลมอนต์มีจริงๆค่ะ แต่ของเราได้เป็นเค้กมะพร้าว แอบอิจฉาคนที่ได้ชีสเค้กไปนานด้วยแหละ แบบว่าชอบชีสเค้กอ่ะนะ ><

เมื่อทานเสร็จแล้ว ก็เรียกน้องเมดให้คิดเงินค่ะ แต่เดี๋ยวก่อน จะให้มาแล้วกลับไปธรรมดาหลอ ไม่ใช่ปอยแน่ๆ งบน้อยค่ะ เลยไม่ได้สั่งออมเล็ตจัมโบ้ ที่มีความพิเศษขึ้นมาคือได้ถ่ายรูปโพราลอยด์กับน้องเมดและได้ต่อเวลาเพิ่มขึ้นอีกครึ่งชม. ดีใจตรงที่ทางร้านมีบริการถ่าบภาพกับน้องเมดค่ะ คิดราคา 100 บาท ก็จัดไปค่ะ ><”



รูปโพลาลอยด์ที่ถ่ายคู่กับเมดที่เข้ามาบริการเราเป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่ในโลกแห่งความฝันนี้ค่ะ ^__^

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

Activity : ครั้งแรกที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ



สุขสันต์วันสงกรานต์ ด้วยการเริ่มต้นบล๊อคใหม่ของเรา ฮ่าๆๆๆ

อย่างมองว่ามันไร้สาระนะ เพราะวันนี้เรามีเรื่องราวดีดีมาบอกต่อ

กับการใช้ชีวิตในวันปีใหม่ไทยแบบไม่ไร้ประโยชน์และได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกด้วยนะ  ^0^

14 เม.ย. 56

วันนี้เรามีแพลนที่จะไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย ซึ่งสถานที่ก็แอบไกลบ้านนิดนึงและไม่เคยไป  ทำให้ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ><”

รู้สึกแปลกๆที่วันสงกรานต์ปีนี้อยู่ในกรุงเทพ ไม่ได้ไปไหน เพราะทุกปีจะไปเที่ยวทะเลประจวบคีรีขันธ์ตลอด ปีนี้จึงได้สัมผัสและเรียนรู้สภาพของการอยู่ในเมืองช่วงเทศกาลที่คนออกไปต่างจังหวัดหมด

                สิ่งที่สัมผัสได้ชัดเจนคือ ถนนโล่งมาก รถไม่ติดเลย ซึ่งนับว่ากรุงเทพน่าอยู่ขึ้นเยอะ 555 ไม่ได้ว่าปกติไม่น่าอยู่นะ แต่การที่ใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายในกรุงเทพแล้วมาวันนี้ ทำให้รู้สึกว่ากรุงเทพได้รับการพักผ่อน เงียบสงบดี ^____^

เรื่อยเปื่อยมาเยอะแล้ว เริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า Let’s go!!

เอาล่ะ เรามาดูวิธีการเดินทางไปยังสภากาชาดกันเลยดีกว่าค่ะ วิธีการเดินทางก็ไม่ยากเลย แค่คุณเดินทางไปอยู่ตรง bts สถานีไหนก็ได้ มุ่งหน้าไปยังBts ศาลาแดง แล้วเดินมาทางประตูทางออกที่ 5 ซึ่งต้องเดินเลาะไปตามสะพานลอยลงมาทางเดินที่ผ่านโรงพยาบาลจุฬาฯ ไปยังสภากาชาด (อันนี้เราว่ามันยากไปหน่อย สำหรับคนไม่ได้ศึกษาเส้นทางนะ เพราะเราไปครั้งแรกก็งงๆเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเรามีตั๋วเดินทางแบบเที่ยวของbtsไง ก็เลยมีไว้ใช้ให้คุ้ม อิอิ) แต่ทางที่เราแนะนำให้ไปคือ นั่งรถไฟใต้ดิน MRT ไปลงสถานี สามย่าน แล้วเดินทะลุตึกจามจุรีสแควร์ทางด้านตึกดีแทค มันจะเลิศมากๆเพราะสภากาชาดอยู่หลังตึกดีแทคเลย ว้าวๆๆ ><

แต่คราวนี้เรามาทางศาลาแดงนะ ซึ่งก็ถึงว่าเดินไกลอยู่เหมือนกัน = =”

ในที่สุดเราก็มาถึงสภากาชาดไทย !!




แต่เดี๋ยวก่อน!! มันเป็นแค่ป้ายบอกว่าถึงสภากาชาดไทยแล้ว แต่ที่นี้ ไม่ใช่ส่วนที่รับบริจาคเลือด เราจะต้องเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งถ้ามาทาง btsศาลาแดง ก็สจะต้องเดินทางตามเส้นทางนี้ เมื่อข้ามฝุ่งมาแล้ว ส่วนรับบริจาคเลือดจะอยู่ทางซ้ายมือ และในที่สุด...เราก็มาถึงจุดหมายแล้ว เย้ๆๆ ^0^


  
                      ป้ายอาคารโดดเด่นเป็นสง่า >0< เราเข้าไปข้างในกันเถอะ!!

                เมื่อมาถึงข้างในแล้ว สิ่งที่ต้องปฏิบัติ คือ หยิบกระดาษมากรอกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและตรวจเช็คสุขภาพทั่วไป ซึ่งโต๊ะกรอกนั้นจะอยู่ถัดเข้าไปหลังบรรไดเลื่อน หรือพูดง่ายๆก็คือ ตรงเข้าไปข้างในเลยบันไดเลื่อนนั่นเอง (ไม่ได้ถ่ายมาให้ดู เพราะว่าคนเยอะมากๆ ขอโทษนะคะ ><”)

                หลังจากกรอกประวัติเสร็จแล้ว ก็เดินไปวัดความดัน ซึ่งตอนที่ไปเป็นช่วงเกือบๆเที่ยง สำหรับเราถือว่าคนไม่เยอะนะ ณ จุดวัดความดันโลหิต เพราะต่อแถวละ4-5คน ประมาณ5แถวได้ เพราะเครื่องวัดความดันมีอยู่จำกัด เมื่อถึงคิวก็เอาแขนเข้าไปในเครื่องให้พอดีกับรอยพับแขน จากนั้นก็นั่งเฉยๆ เจ้าหน้าที่จะเข้ามาจัดการตั้งค่าเครื่องให้เราเอง ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

                เมื่อเสร็จขั้นตอนวัดความดันแล้ว ก็เดินไปรับคิวใกล้ๆกับจุดลงทะเบียนผู้บริจาคโลหิตหรือตรงช่อง 4นั่นเอง และเราก็ว่ารออีกไม่นานเช่นกัน ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าคนเยอะแล้วจะรอนาน แต่กลับไม่ใช่เลย เจ้าหน้าที่ทำงานกันได้รวดเร็วมากๆ ^^

            เมื่อถึงคิวเรียกเข้าห้อง จะมีพยาบาลบสองส่วน คือส่วนแรกดูเรื่องเอกสาร และสอบถามทั่วไป อย่างเช่น เมื่อคืนนอนกี่โมง, ทานข้าวมารึยัง แล้วก็คำแนะนำต่างๆสำหรับการบริจาคเลือด เช่น ดื่มน้ำเยอะๆ ทานข้าวให้อิ่มๆ จะช่วยให้ไม่เป็นลมหลังการบริจาค และส่วนที่2 จะเป็นเรื่องของการตรวจเลือด ซึ่งคุณพยาบาลจะชวนเราคุยเรื่อยๆ แล้วก็เอาสำลีเย็นๆชุ่มๆมาทาที่ปลายนิ้วข้างที่จะตรวจเลือด จากนั้นจึงใช้ที่กดเข็มเล็กๆมากดที่ปลายนิ้วเรา กึ๊บนึง !! ให้เจ็บเล่นๆ ><” แล้วบีบเลือดที่ออกจากปลายนิ้วออกมาตรวจว่าเลือดกรุ๊ปอะไร บริจาคได้รึเปล่า ซึ่งของเรา ผ่านโล้ดด ได้ไปต่อจ้า ฮ่าๆๆ

                จากนั้นก็มาต่อรอรับคิวที่ช่อง3  จำไม่ได้ว่ามีป้ายเขียนว่ทาอะไร แต่ประมาณว่า “ทะเบียนผู้บริจาคโลหิต” ประมาณนี้ ตรงนี้ทำเอาเราตื่นเต้นมากๆเพราะว่าครั้งนี้เป็นการบริจาคเลือดครั้งที่6 ของเรา และเราคาดหวังว่าจะได้เปลี่ยนจากบัตรกระดาษสีเหลืองน้อยๆเป็นบัตรแข็งซะที >____<

ยืนรอไปซักพักก็ถึงคิว เจ้าหน้าที่ก็ทำงานรวดเร็วมากๆ ไม่ทันไรเราก็ได้บัตรแข็งมาอยู่ในมือแล้ว แอร๊ยยยย >0<



เดี๋ยวไว้มาเขียนต่อ วันนี้แค่นี้ก่อน เรื่องราวยังไม่จบ อิอิ