วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Diet : บันทึกลดน้ำหนักของสาวช่างกิน ตอน จะไปงานแต่งงานแต่ตัวบวม

บันทึกลดน้ำหนักของสาวช่างกิน 
ตอน จะไปงานแต่งงานแต่ตัวบวม 

เนื่องจากได้รับคำชักชวนจากคุณป้าผู้แสนน่ารัก เรื่องจะพาไปงานแต่งงาน เราหรือก็ไม่ค่อยออกงานเท่าไหร่ ก็บอก ไม่ไปๆ ><"
ผลสุดท้าย ท้ายที่สุด คำตอบ คือ ... "ไป" 555
 เหตุผลเพราะคนรู้จักอยากเห็นหลานสาวว่าตอนนี้โตไปถึงไหนแล้ว 
ก็เลยงานเข้าสิคะ ต้องยอมไปแต่โดยดี
Start : 15 July 2013
Deadline : 27 July 2013

มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ ^_______^

15 July 2013
วันแรกไม่หนักหน่วง ตื่นเช้าพาน้องไปส่งโรงเรียนก็หิ้วหมูปิ้งให้น้องถุงนึง ตัวเองถุงนึง อิอิ


ตามด้วยผลไม้ฤดูกาลอย่างกระท้อน อิ่มจัง ><"

เดินทางกลับลาดกระบังด้วยท้องอิ่มๆ พอถึงหอก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
นั่งทำงานไปเรื่อยๆ พอมาถึงมื้อกลางวันก็เลยไปเป็นเวลาบ่ายสามโมงเย็นซะแล้ว
บางทีข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ทำท้องฉันแน่นเกินไป 555

กลางวันทานเป็นข้าวซอย รสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน เผาผลาญได้ดีทีเดียว

เข้าเรียนจนถึง 5 โมงเย็นก็กลับหอมาเปลี่ยนชุด เตรียมไปสนามกีฬา 
ออกกำลังกายเรียกเหงื่อกันซะหน่อย เพื่อสุขภาพ


สำหรับเรา มีวิธีการออกกำลังกายแตกต่างไปจากคนอื่น ด้วยความที่สุขภาพขาไม่ดีทำให้วิ่งไม่ได้
จึงเลือกที่จะ "เดินเร็ว" ช้าๆ เพื่อลดแรงกระแทกของกระดูก ^^
วันนี้เอา 3 รอบสนามพอ แค่นี้ก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
เรียกเหงื่อได้เยอะทีเดียว อิอิ

หลังจากกลับหอมาพักหายเหงื่อ ก็มีอาการหิว เลยทานเป็น 
"สุกี้น้ำหมู ไม่ใส่วุ้นเส้น" 



ที่ไม่ใส่วุ้นเส้น เพราะซื้อกลับหอนั่นเอง กลัวเส้นมันอืดทานไม่อร่อย 555
เราไม่มีเทคนิคทานวุ้นเส้นลดน้ำหนักหรอกนะ 
เพียงแต่ทานแล้วใช้พลังงานให้หมดก็พอ :)

16 July 2013

เช้านี้กะว่าจะนอนตื่นสายๆซะหน่อย พอดีไม่มีเรียนอ่ะนะ ><"
แต่ร่างกายมันตื่นเองจ้าา ตื่นมาก็สายอยู่ ราวๆ 9 โมงเช้า
มึนหัวนิดหน่อยก็จัดแจงล้างหน้า แปรงฟัน เตรียมทานมื้อเช้า

วันนี้มื้อเช้าเป็น "คอนเฟรคกับนม"


การงดแป้งก็ไม่ใช่วิธีสำหหรับเรานะ แต่เราต้องเลือกแป้งที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย
อย่างธัญพืชอบกรอบ แป้งไม่ขัดสี อะไรพวกนี้ 
ทานแล้วมันดีต่อร่างกาย เป็นกากใย แถมอยู่ท้องนานกว่าปกติ ^^

นั่งทำงานไปเรื่อยๆ ท้องก็ส่งเสียงร้องซะแล้ว
หลังจากทำผมให้เมทเสร็จก็ออกไปหาซื้ออะไรมาทาน 
ข้างนอกอากาศร้อนจริงๆ เดินออกมาแปปเดียว เหงื่อท่วม
ได้ "น้ำตกกับข้าวเหนียว" มาเป็นมื้อกลางวัน


ทุกอย่างมีเหตุผล น้ำตก ใครๆก็ว่าแคลอรี่เยอะ
ลองเลือกเนื้อหมูไม่ติดมันดูสิ แล้วทานเป็นรสอ่อนๆ แต่เน้นเผ็ดร้อนจากพริก
แค่นี้ก็ช่วยให้สามารถทานน้ำตกได้อย่างมีความสุข ไม่กังวลเรื่องน้ำหนักแล้วล่ะค่ะ ^^

จากนั้นก็ง่วงค่ะ ข้าวเหนียวทำให้ง่วงมากมาย หรือ เพราะตื่นเช้าก็ไม่รู้ เลยงีบไปตื่นนึง
4โมงก็แต่งตัวไปเรียนที่คณะ ทำแลปเสร็จก็ประมาณ 6โมงครึ่ง กลับหอ

วันนี้มีงานต้องทำค่ะ เลยซื้อ "สุกี้น้ำหมู" มาทานเหมือนเดิม


ที่่เลือกทานสุกี้เพราะผักเยอะดีค่ะ มีโปรตีนจากเนื้อหมู แต่ต้องเป็นเนื้อหมูไม่มันนะคะ
แค่นี้ก็มีพลังงานเพียงพอสำหรับนั่งทำงานคืนนี้แล้วค่ะ :)


Beauty : ชอปครั้งแรกกับ Beauty Cottage

ตั้งใจที่จะไปสอยที่ดัดขนตาของ Beauty Cottage เท่านั้นค่ะ
เพราะว่าเคยไปลองแล้วเข้ากับเบ้าตาของเราได้เป็นอย่างดี งอนเด้งดีค่ะ 
พอเป็นช่วงลดราคา มีเวลาเลยได้มีโอกาสไปซื้อ 

พอเข้าร้านไปพนักงานบริการดีมากๆค่ะ แนะนำขอด้วยความสุภาพและให้เราได้มีเวลาตัดสินใจเลือกซื้อ 

ตอนแรกดูแต่ที่ดัดขนตาค่ะ เพราะตั้งใจมาเอาสิ่งนี้โดยเฉพาะ
แต่แล้วก็ไม่พอค่ะ เพราะลดราคาแล้ว ถ้าเป็นสมาชิกก็จะได้ลดเพิ่มอีก
พนักงานบอกว่า ถ้าซื้อของครบ 300 จะได้รับบัตรสมาชิกและใช้เป็นส่วนลดได้ทันทีค่ะ
แบบนี้ปอปอยก็จัดเลยค่ะ แห๊ะๆ ^^"

เดินเลือกอยู่ ลองนู่นลองนี่ ก็ได้ของมาทั้งหมด 6 ชิ้นด้วยกัน ><"



มาเริ่มกันที่ชิ้นแรกก่อนเลย
ที่ดัดขนตา <3



ยอมรับเลยว่าถูกใจมากๆ เพราะว่าโค้งของที่ดัดขนตาเข้าพอดีกับเบ้าตาของเราสุดๆเลย <3
เราเป็นคนตาโต ตาโปนๆบวมๆ เคยลองใช้ของ Beauty Buffet ก็ดีนะคะ งอนเด้งดีค่ะ 
แต่ว่าเบ้ามันตื้นไปหน่อย ทำให้ตรงหัวและหางตาไม่ค่อยงอน ต้องใช้ที่ดัดเฉพาะช่วยอีกที ถึงจะงอนได้เท่ากันหมด 
ของ Shu ก็คล้ายๆกันค่ะ ใช้ดีต้องบอกต่อ และก็ยังไม่พอดีกับเบ้าตาของเรา
จนได้มาลองของ Beauty Cottage ตัวนี้ โดนใจเลยค่ะ ^^

ตามมาด้วย "กาวติดขนตา"



บอกตามตรงว่ายังไม่เคยใช้แบบพู่กันเลยค่ะ ปกติใช้แบบหลอดบีบ ซึ่งใช้ดีมาก แต่ไม่ค่อยสะดวก ทำเลอะเทอะ และบีบเกินบ่อย เลยเปลืองโดนใช่เห็น เห็นว่าตัวนี้น่าลองเลยซื้อมาค่ะ 

อันนี้เป็นส่วนเกี่ยวกับเล็บค่ะ ได้มา 3 ชิ้นด้วยกัน
มียาทารองพื้นก่อนลงสีทาเล็บ สีทาเล็บ และน้ำยาล้างเล็บกลิ่นมะพร้าวค่ะ



ที่ร้านมีให้ลองก่อนนะคะ ดีตรงที่มีน้ำยาล้างเล็บด้วยเนี่ยแหละค่ะ ก็ยืนล้างๆเล็บในร้าน พนักงานไม่ว่าอะไรก็โอเคดีค่ะ นึกว่าจะชักสีหน้าไม่พอใจแบบเสียเวลาอะไรแบบนี้ แต่ไม่เกิดเหตุการณ์นั้นค่ะ ^^
แล้วก็ลองสีเล็บไป หลายสีเลยค่ะ อิอิ ><"


สุดท้ายก็ได้เป็นเคลือบกับสีน้ำตาลออกทองมาค่ะ 
ณ ตอนนี้ รู้สึกว่ามือตัวเองหอมกลิ่นมะพร้าวมากๆเลยค่ะ เป็นน้ำยาล้างเล็บที่ล้างได้สะอาด กิ่นไม่ฉุนและเล็บไม่เป็นคราบขาวค่ะ ลองที่ร้านแล้ว เลยบอกได้ ^^

สุดท้ายเป็นกลิตเตอร์สีทองค่ะ เอาไว้ทาเป็นอายแชว์โดว์ ทาตัว วิ๊งๆได้ค่ะ
มีให้เลือกหลายสีอยู่นะ แต่สีนี้น่าจะได้ใช้บ่อย



ส่วนนี้ค่าเสียหาย เอ้ยยย ค่าการลงทุนเพื่อความสวยความงามค่ะ ><"



ซื้อครบ 300 สมัครสมาชิกฟรี แล้วยังแถมสมุดโน้ตเล็กๆมาให้อีก1อย่างด้วยค่ะ :)



หมดซะแล้ว อิอิ
ไว้ใช้แล้วจะมารีวิวให้ดูนะคะ ตอนนี้ขอเห่อก่อน ><

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Workshop :งาน Use Me Again


งาน Use Me Again "ข้างกล่องสองเรา" #Pantip Network @CTW 






















Feeling : รอ...อย่างรู้สึกผิด

การที่โทรศัพท์แบตหมด ถือเป็น...เรื่องใหญ่
แต่ที่ทำให้เรื่องราวมันใหญ่มากกว่าเดิม คือการที่...จำเบอร์โทรศัพท์คนสำคัญผิดไป3ตัว

วันนี้มีโอกาสได้เข้าไปร่วมworkshopทำข้าวกล่องกับงาน Pantip Network ที่จัดขึ้นที่ CTW

ไม่นึกว่าการห่างกันไม่กี่นาทีนี้ จะทำให้เราห่างกันเป็นชม. เพียงเพราะโทรศัพท์ของฉันแบตหมด TT

เมื่อลงทะเบียนเสร็จ ก็พบว่าโทรศัพท์ที่พกติดตัวมาแบตหมด ก็ได้ขอความช่วยเหลือจากพี่ๆในงาน เพื่อติดต่อกับคนสำคัญของฉัน

สิ่งแรกที่นึกออกคือต้องโทรศัพท์ไปบอก แต่แล้วสิ่งที่แย่ก็ตามมา คือกดเบอร์ไปแล้วติดใครไม่รู้ ลองกดดูมากมายหลายเบอร์แต่ก็ไม่ใช่ อะไรกันนะที่ทำให้เราลืมเลข3หลักที่อยู่ระหว่างเลขนำกับเลขท้าย

ให้ตายสิ!! ฉันเลยตัดสินใจส่งข้อความทางแชทเฟส เพื่อจะบอกให้เขารู้ว่าฉัน...อยู่ที่ไหน เพื่อที่จะได้มาหาเราถูก เพราะเราตั้งใจจะ"รอ"เขาอยู่ที่นี่

เมื่อworkshopเรียบร้อยแล้ว ฉันคอยถามพี่ที่ใจดีให้ยืมโทรศัพท์มาส่งแชท เพื่อที่จะรู้ว่าเขาส่งอะไรตอบกลับมาบ้างรึเปล่า

รอไปเป็นชม. ฉันก็ยังรออยู่ที่เดิม จนกระทั่ง...สายตามองไปเห็นเขา
(ในใจรู้อยู่เต็มอกว่าเขาต้องโกรธมากแน่ๆ แต่อีกนัยนึงคือเขาอ่านข้อความทางแชทเฟสที่ส่งไปบอกแล้ว)

ฉันดีใจมากๆ บอกตามตรง ดีใจแบบน้ำตาจะไหลเลยล่ะ ก็นั่งรออยู่ตั้งนาน...รอจนกว่าเขาจะมารับ

แต่ขณะที่หันมาเก็บของ เพื่อที่จะเดินตามเขาออกมาจากงานนั้น หันกลับมาอีกที...หายไปไหนแล้ว T________T

ทางเดินเลี้ยวขวาเป็นห้องน้ำ สงสัย...เขาคงจะเดินไปเข้าห้องน้ำแหละ

เราก็ไปยืน...รอ...อยู่หน้าห้องน้ำ ในใจรู้สึกอ้างว้างสุดๆเลยล่ะ แบบว่ากลัว ทำไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าถ้าเดินไปทางอื่นแล้ว เราจะได้เจอกันอีกรึเปล่า ได้คุยกันอีกมั๊ย คิดแล้วก็แทบจะยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่ชอบเห็นน้ำตาเราหรอก เราต้องเข้มแข็งเข้าไว้...ยืนไปยืนมา...คนที่ออกมาแล้วมาเล่าก็ไม่ใช่เขาซะที ฉันก็เลยคิดว่าเขาคงเลี้ยวไปอีกทาง ก็เลยเดินไปหาดู รวมทั้งเดินวนรอบๆงาน แต่ก็ไม่เจอ

ฉันตัดสินใจมายืนรอตรงหน้าห้องน้ำอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบ...

เมื่อขาเริ่มอ่อนแรง ฉันจึงเดินกลับเข้าไปในงาน ดีใจที่เห็นพี่คนนั้นกลับมาจากทานข้าวแล้วพอดี เพื่อถามพี่คนที่ให้ยืมโทรศัพท์ว่า เขาติดต่อมามั๊ย ... คำตอบคือ"ไม่"

ฉันได้แต่นั่ง...รอ... สายตาก็เหลือบไปมองชั้นบนบ้างเป็นครั้งคราว เพราะคิดว่าเขาอาจจะยืนดูอยู่ข้างบนก็ได้ แค่เรามองไม่เห็น

...รอ...

จนกระทั่ง !! เขามาแล้ว วินาทีนั้นฉันรีบลุกออกจากงานทันที ไม่รอให้เหมือนที่เห็นครั้งแรกแล้วแน่นอน

ฉันแตะมือเข้า เรียกชื่อเขา แต่วินาทีนั้นทำให้รู้ว่า...ฉันทำผิดมากจริงๆ มากซะจนไม่น่ามีใครให้อภัยฉันได้ มือที่กุมอยู่ถูกสะบัดออก แต่แรงบีบมือที่รั้งไว้...ไม่ช่วยอะไรได้เลย

ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกอึดอัดมากๆเลยล่ะ อารมณ์โกรธหรืออะไรก็ช่าง แต่ฉันรับรู้ได้ว่าความพยายามของฉันมันสูญเปล่า เขาไม่ได้รับรู้ถึงความพยายามของฉันเลย

ทุกอย่างที่พูดไป ทุกจากที่ออกมาจากปาก มันเป็นแค่สายลมที่ไร้น้ำหนัก ฟังไม่ขึ้น

คำพูดเจ็บๆและทำร้ายกลับตอกย้ำ ...ความเข้มแข็งของฉันเริ่มหมดลง...

ฉันไม่สามารถเห็นภาพรรยากาศงานนั้น หรือ เพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ตอนนั้นได้

น้ำตาของฉันมันไหลมาแทบจะหยุดไม่ได้ เพียงเพราะมันอัดแน่นอยู่เต็มอก

ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงพาฉันไปหาที่นั่ง แต่ที่รู้สึกดี คือเขายังโอบกอดและจูงมือฉันบ้าง ราวกับ...ลืมตัวว่าโกรธ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเขายังอยู่ข้างๆในเวลาที่ฉันรู้สึกแย่ ทั้งๆที่ฉัน...ทำให้เขารู้สึกแย่มากกว่า

เขาอยากเห็นความพยายามของฉัน ส่วนฉันอยากให้เขารู้ว่าฉันพยายามทำอะไรไปแล้วบ้าง

เพียงแค่รับฟังกันและกัน ไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ทุกอย่างย่อมมีทางออก

เหตุการณ์นี้ฉันจะจำไปอีกนาน...เพราะมันเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ที่ฉัน...รู้สึกผิด
(ไม่ใช่แค่พูด...แต่รู้สึกผิดจากข้างในจริงๆ)

วิธีหาทางออกของแต่ละคนมันก็แตกต่างกันออกไป...ใครจะไปใช้วิธีเดี๋ยวกันหมดได้...ไม่มีทาง
แค่อยากให้เข้าใจกันบ้าง ไม่ใช่แค่มองวิธีหาทางออกแค่ในมุมของตัวเอง